ผลสำรวจร้านชานมไข่มุกหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง พบว่า 5 จาก 10 ร้านไม่บอกปริมาณน้ำตาลที่ใส่ในแต่ละแก้ว
ยังคงเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง สำหรับ “ชานมไข่มุก” และมีหลายราคาให้ลิ้มลอง ตั้งแต่แก้วละ 20-30 บาท แก้วละ 35-50 บาท ไปจนถึงแก้ว 80-100 บาท
ประเทศไทยเป็นเมืองร้อน ดังนั้น เครื่องดื่มที่มีรสชาติหวานชื่นใจ ย่อมขายได้ตลอดวัน เพียงแค่เลือกความหวานได้ ก็จะเป็นรสชาติที่ถูกปากทุกคน เพราะฉะนั้นแฟรนไชส์ประเภทเครื่องดื่มอย่างชานมต่าง ๆ แม้ว่าจะได้รับความนิยมน้อยลงไปบ้าง แต่ก็จะสังเกตได้ว่ายังมีลูกค้าอยู่ต่อเนื่องสม่ำเสมอ
จากการสำรวจร้านชานมไข่มุกหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหงจำนวน 10 ร้าน พบว่า ร้านที่ราคาถูกสุดเริ่มต้นที่ราคา 15 บาท/แก้ว และแพงสุดอยู่ที่ราคา 40 บาท โดยแต่ละร้านก็ใส่สารเพิ่มความหวานให้ในปริมาณที่แตกต่างกัน มีตั้งแต่จาก 1 ช้อนชา ไปจนถึงกระบวยขนาด 30 ออนซ์ และเป็นที่น่าแปลกใจจากการสอบถามการใส่ปริมาณน้ำตาลหรือสารเพิ่มความหวาน 50 % ของทางร้าน ไม่บอกอัตราการใส่ปริมาณน้ำตาลว่าใส่ประมาณเท่าไหร่ต่อแก้ว
อาจารย์เหมือนแพร รัตนศิริ อาจารย์ภาควิชาคหกรรมศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง พูดถึงความนิยมของชานม ว่า ชานมไข่มุก เป็นวัฒนธรรมอาหารที่เรารับมาจากต่างประเทศ ก็พอทราบว่าเกิดมาจากประเทศไต้หวัน เป็นที่นิยมสำหรับวัยรุ่น ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนเราก็จะเจอแต่ร้านขายน้ำและในนั้นมันก็จะมี ท็อปปิ้งอยู่ ซึ่งท็อปปิ้งตัวนั้นก็คือ ไข่มุกนั้นเอง แต่ถ้าเราไม่กินไข่มุกแต่ก็จะมีท๊อปปิ้งตัวอื่นๆ เช่น เยลลี่ต่างๆ เยอะแยะมากมาย อาจารย์คิดว่าที่มันเป็นกระแสที่นิยมเพราะว่ามันน่าจะเป็นการตลาดมากกว่า อย่างเช่น ใส่น้ำตาลไหม้ คาลาเมล ใส่กลิ่นเพื่อทำให้เราอยากที่จะลองทาน ลองชิมพวกน้ำหวาน น้ำอัดลม โซดาต่าง ๆ เป็นเทรนของเครื่องดื่มที่แปลกใหม่ขึ้นมา
เมื่อพูดถึงปริมาณพลังงานในชานมไข่มุก 1 แก้ว อาจารย์ได้กล่าวต่อว่า ถ้าเป็นแบบปกติ ความหวาน 100% ก็จะเป็นตามสูตรปกติเลยก็จะอยู่ที่ประมาณ 400 – 500 กิโลแคลอรี่ ซึ่ง 400 – 500 กิโลแคลอรี่ แต่ถ้าเราลดความหวานได้ จะทำให้เราได้รับน้ำตาลที่น้อยลง แต่ถ้ามองจริง ๆ ชาไข่มุก ส่วนผสมก็จะเป็นพวกคาร์โบไฮเดรต และตัวไขมันและชานมไข่มุกมันก็มีหลาย ตัวไข่มุกเองก็ทำมาจากแป้งมันสำปะหลัง นำมาต้มแล้วก็ใส่ตัวน้ำตาลไปอีกทีหนึ่ง เพื่อให้มันมีความหวานความหนึบด้วย พอมารวมกันแล้วทำให้เราได้รับพลังงานค่อนเยอะเหมือนกัน
สมมุติว่า เราทานข้าว 1 ทัพพี ก็จะเทียบเท่ากับเราทานขนมปังหนึ่งแผ่น ถ้าเราทานขนมจีน 1 จับใหญ่ ก็จะเทียบเท่ากับเราได้ทาน 1 ทัพพีเหมือนกัน ซึ่งมันสำปะหลังในไข่มุก จะประกอบไปด้วยตัวแป้งเป็นหลักเหมือนกันถ้าเราทานในปริมาณที่เขาใส่มาให้ก็จะเทียบเท่ากับข้าวปริมาณ 3 – 4 ทัพพีเลยทีเดียว อันนี้ยังไม่ได้รวมตัวน้ำชาอันนี้น้ำหวานจากตัวน้ำหวาน ถ้าเราทานชานมไข่มุกทุกวัน วันละ 1 แก้ว เมื่อสะสมไปเรื่อย ๆ แคลอรี่ก็สะสมไปเรื่อย ๆ มันก็จะเปลี่ยนเป็นพลังงานที่เก็บเอาไว้ในร่างกายในรูปของไขมันทีนี้พอมันเป็นไขมัน พอเรามองเห็นสภาพทางร่างกายเราเริ่มมีไขมันตามส่วนต่าง ๆ เช่น แขน ขาหน้า ท้องต่าง ๆ และทำให้เราใส่ชุดเดิมไม่ได้แล้ว น้ำหนักเพิ่มขึ้น ก็จะมีไขมันอีกตัวหนึ่งซึ่งเรามองไม่เห็น ก็จะเป็นไขมันในหลอดเลือด ซึ่งตัวนี้มองไม่เห็น แต่เป็นอันตรายมาก เพราะว่า เราไม่สามารถว่าไขมันไปเกาะที่หลอดเลือดของเราเพิ่มพอกพูนมากขนาดไหนแล้วก็ส่งผลต่อการเป็นหลอดเลือดอุดตันได้ เมื่ออ้วนก็จะเหนี่ยวนำ โรค NCD ( non – communicable diseases ) คือโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ก็จะเหนี่ยวนำโรคต่าง ๆ เพิ่มมาอีก เช่น เบาหวาน ความดัน ไขมัน หัวใจจะสะสมทำให้เป็นโรคต่าง ๆ เพิ่มขึ้นมา แต่ก็จะใช้ระยะเวลาที่มันยาวนานมาขึ้นประมาณ 2 – 3 ปี ถ้ายังมีพฤติกรรมเดิม ๆ อยู่
อาจารย์เหมือนแพร รัตนศิริ อาจารย์ภาควิชาคหกรรมศาสตร์ให้คำแนะนำ ถ้าอยากดื่มชานมไข่มุกให้สุขภาพดี ดังนี้
สิ่งแรกเลยที่เราจะสามารถบอกกับร้านค้าได้เลยคือ ปรับลดน้ำตาลลง ขอเขาปรับน้ำตาลลงให้เป็นน้ำตาลน้อยน้ำตาล เศษ 1 ส่วน 4 ตามสูตรของเขา
1. ลดปริมาณน้ำตาล
2. เปลี่ยนเป็นนมพร่องมันเนย หรือนมไขมันเนย (ถ้าทางร้านถ้ามีให้เลือก)
ถ้ายังชอบความกรุบกรอบเหนียวหนึบอยู่ เราอาจเปลี่ยนจากท็อปปิ้งตัวไข่มุกเป็นท๊อปปิ้งตัวอื่น เช่น บุกที่เป็นอโลเวล่า ( ว่านหางจระเข้ ) มีความหนึบหนับ เคี้ยวเล่นได้อยู่ และแคลอรี่ก็ลดน้อยลง เมื่อเราทานชานมไข่มุกไป เราก็จะต้องไปปรับลดมื้อหลักอย่างข้าว เช่นในมื้อหนึ่งเราท่านข้าว 2 – 3 ทัพพีก็ปรับลดลงเหลือแค่ 1 ทัพพี เพราะว่าชาไข่มุกมีสารอาหารแค่คาร์โบไฮเดรตกับไขมัน ฉะนั้นเราจำเป็นต้องลดคาร์โบไฮเดรตในอาหารมื้อหลัก แต่ว่าทานกับข้าวและอาหารอื่นอื่นๆด้วย ไม่อย่างนั้นเราก็จะขาด และถ้ากลัวว่าจะไม่อิ่ม ให้ทานเป็นพวกผักสดหรือผลไม้ร่วมด้วยก็จะทำให้อิ่มมากขึ้น